จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

เสียง

                                                          
 เสียงเป็นคลื่นตามยาว เกิดจากการสั่นของวัตถุ มนุษย์ได้ยินเสียงใน
คลื่นความถี่ 20-20,000 Hz เสียงที่ต่ำกว่า 20 Hz เรียกว่า เสียง
อินฟราโซนิก และเสียงที่มีความถี่สูงกว่า 20,000 Hz เรียกว่า เสียง
อุลตราโซนิก เรารับฟังไม่ได้
         
ความเร็วเสียงแปรผันตรงอุณหภูมิ ตามสมการ
 Vt = 331+0.6t เมื่อ t เป็นอุณหภูมิ ที่ความเร็ว 0 oC เสียงจะมี
ความเร็ว 331 m/s

การหักเหของเสียง
         
เสียงจะหักเหขึ้นในตอนกลางวัน หรือตอนฝนใกล้ตก และจะ
หักเหลงเวลากลางคืนการแทรกสอดของเสียง
         
ถ้าเสียง 2 เสียง มีความถี่เท่ากัน อยู่บางตำแหน่งจะได้ยิน
เสียงดัง (เกิดการแทรกสอดแบบเสริมกัน) บางตำแหน่งจะได้ยินค่อย
 ( การแทรกสอดแบบหักล้างกัน)
         
ถ้าเสียงทั้งสองมีความถี่ต่างกันเล็กน้อย ไม่ว่าจะอยู่ตรง
ตำแหน่งใด จะได้ยินเสียงดังค่อย ดังค่อย เป็นจังหวะต่อเนื่อง เรียกว่า
บีตส์ (Beats) จำนวนบีตส์ที่เกิดขึ้นใน 1 หน่วยเวลา จะเท่ากับจำนวน
ครั้งที่เราได้ยินเสียงดังหรือเสียงค่อยใน 1 หน่วยเวลา เราเรียกว่า beat
frequency มีค่าเท่ากับผลต่างของความถี่ของคลื่นเสียงทั้งสอง (If1-f2I)

เราได้ยินเสียง ทั้ง ที่ไม่เห็นแหล่งกำเนิดเสียงเลยความดังของเสียง
         
ความดังของเสียงขึ้นกับความเข้มของเสียง ถ้าความเข้มสูง
 ความดังมาก ถ้าความเข้มต่ำ ความดันจะต่ำ

สูตร
การเลี้ยวเบนของเสียง
         
เกิดขึ้นเมื่อสิ่งกีดขวางที่ลักษณะเป็นมุม เป็นช่องเล็ก จะทำให้
เสียง
ให้
P
เป็นกำลังเสียงจากแหล่งกำเนิด
I
เป็นความเข้มเสียง
R
เป็นระยะห่างที่วัดจากแหล่งกำเนิดเสียง
I = k/R2      = P/4pR2
ความดังของเสียง เป็นระดับความเข้มของเสียง (b) มีหน่วยเป็นเดซิเบล
b = 10 log (I/I0)
เมื่อ I0 - ความเข้มของเสียงที่เบาที่สุดที่หูเราได้ยินได้ = 10-12 watt/m2
ระดับของเสียง
         
ระดับของเสียงจะแปรผันกับความถี่ของเสียง เสียงที่มีความถี่มาก
ระดับเสียงจะสูงคุณภาพของเสียง
         
เป็นสมบัติเฉพาะของเสียงที่มาจากวัตถุแต่ละประเภทที่ก่อให้เกิด
เสียง ขึ้นอยู่กับ overtone ที่เกิดขึ้นและแสดงออกมาอย่างเด่นชัด การกำ
ทอนหรือการสั่นพ้องของเสียง
         
คือปรากฎการณ์การสั่นของวัตถุที่มีความถี่ของการสั่นเท่ากับความ
ถี่ธรรมชาติ จะทำให้วัตถุนั้นมีการสั่นที่รุนแรงที่สุด การปรับเสียงลำโพง ถ้า
ปรับความถี่ของลำโพงไปตรงกับความถี่ธรรมชาติของลำอากาศจะทำให้
ลำอากาศในหลอดสั่นรุนแรง จึงทำให้เกิดเสียงดังที่สุด

 เสียงเคาะแก้ว
          ขณะที่เกิดการสั่นพ้องในท่อหรือหลอดทดลอง
1.
การเคลื่อนที่ของเสียงในท่อจะมีการแทรกสอดระหว่างคลื่นเสียงจากลำ
   โพงและเสียงที่สะท้อน
2.
ระยะห่างระหว่างตำแหน่งที่ได้ยินเสียงดังติดกัน 2 ครั้ง x = l /2
3.
ในท่อจะเกิดคลื่นนิ่งขณะที่เกิดการสั่นพ้องของเสียง
4.
อนุภาคของอากาศบริเวณปลายเปิดจะสั่นมากที่สุด มีการกระจัดสูงสุด (ปฏิบัพ)
5.
อนุภาคของอากาศบริเวณปลายปิดจะสั่นน้อยที่สุด มีการกระจัดเป็นศูนย์ (บัพ)
ความถี่มูลฐาน (Fundamental)
   
คือ ความถี่ต่ำสุดของคลื่นนิ่งในหลอดทดลองหรือในเส้นเชือก เครื่องดนตรี
จะมีความยาวคลื่นมากที่สุด

overtone
   
คือ ความถี่ที่ถัดจากความถี่มูลฐาน ฮาร์โมนิก (Harmonic)
   
คือ ตัวเลขที่บอกว่า ความถี่ขณะนั้นเป็นกี่เท่าของความถี่มูลฐาน

   
ปรากฎการณ์ดอปเปลอร์ (Doppler effect)
         
เป็นปรากฎการณ์ที่ผู้ฟังหรือผู้สังเกต ได้ยินเสียงจากแหล่งกำเนิดเสียง
 มีความถี่แตกต่างไปจากความถี่ของเสียงที่มาจากต้นกำเนิดเสียงจริง ๆ ทั้งนี้
เกิดจากการที่ต้นกำเนิดเสียงหรือผู้ฟังเคลื่อนที่
   
ถ้าผู้สังเกตและแหล่งกำเนิดเสียงเคลื่อนที่เข้าหากัน จะได้ยินเสียงที่มีความ
ถี่มากกว่า    ถ้าผู้สังเกตและแหล่งกำเนิดเสียงเคลื่อนที่ออกจากกัน จะได้ยิน
เสียงที่มีความถี่น้อยกว่า
ความถี่ธรรมชาติ
         
ความถี่ของวัตถุที่สามารถสั่นหรือแกว่งได้อย่างอิสระ เสียงเคาะจาน
ถ้า  
f
V
Vs
VO
f
f
= f (VVO) / (VVs)
-
ความเร็วของเสียงในอากาศ
-
ความเร็วที่ต้นกำเนิดเสียง S เคลื่อนที่
-
ความเร็วที่ผู้ฟัง O เคลื่อนที่
-
ความถี่ของเสียงที่ออกจากต้นกำเนิด
-
ความถี่ของเสียงที่ผู้ฟังได้ยิน
คลื่นกระแทก
         
คลื่นที่เกิดขึ้นเมื่อต้นกำเนิดเสียงเคลื่อนที่โดยมีความเร็วมากกว่า
ความเร็วของเสียงในอากาศ หน้าคลื่นของคลื่นกระแทกจะมีลักษณะเป็น
รูปกรวยกลม
sin q = V / Vs
         เมื่อ q เป็นมุมที่เกิดขึ้นระหว่างคลื่นกระแทกกับแนวที่ต้นกำเนิดเสียง
เคลื่อนที่ ผลของคลื่นกระแทกจะก่อให้เกิดเสียงดัง เรียกว่า sonic boom
















ที่มา http://www.eduzones.com/knowledge-2-5-2161.html